บริษัทคลินิคจิต-ประสาท

 ห้องรับแขก

กลับไป ความรู้เรื่องโรคทางจิตเวชและปัญหาพฤติกรรม      

 

 

 

            โมเมเล่า....

                                                            เรื่องหวยชีวิต

ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์สมพร บุษราทิจ

            ก่อนอื่นโมเมขอแนะนำตัวว่า..........

โมเมเป็นมนุษย์จินตนาการ ถือกำเนิดมาในบรรณภพประมาณกลางปีพุทธศักราช ๒๕๔๙ มีหน้าที่เป็นสื่อติดต่อกับผู้สนใจเรื่องของชีวิต แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ซึ่งส่วนมากโมเมเป็นฝ่ายเสนอมากกว่ารับ ทั้งๆที่ทราบดีว่าการรับฟังความเห็นเป็นงานสำคัญ แต่ที่ไม่ได้ฟังความเห็นเพราะการรับไม่สะดวกเท่ากับการส่งออก

        โมเมเป็นคนชั้นกลาง มาจากครอบครัวที่พอมีอันจะกิน ได้รับการศึกษาดีตามสมควร ดูไปแล้วโมเมเป็นคนธรรมดาสามัญมากๆ แต่โมเมมีสิ่งหนึ่งที่ผิดแผกแตกต่างกับคนอื่น คือเป็นคนขี้สงสัย โมเมสงสัยในเรื่องที่คนทั่วไปไม่สงสัย เพราะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่โมเมเห็นว่าไม่ธรรมดา น่าสงสัย เช่นสงสัยว่า

                        เราเกิดมาทำไม

                        ชีวิตคนควรเป็นอย่างไร

                        ทำไมคนต้องทำงาน

                        ชีวิตที่ดีเป็นอย่างไร

                        อะไรเป็นมาตรวัดความดี

                        ฯลฯ

            โมเมน่าจะเป็นคนที่มีเชื้อย้ำคิดย้ำทำอยู่บ้างจึงชอบคิดอะไรแปลกๆ ระยะนี้โมเมสนใจเรื่องชีวิตคน โมเมเก็บเอาเรื่องต่างๆมาคิดหลายเรื่อง หนึ่งในหลายเรื่องนั้นเป็นเรื่อง “โลกนี้-โลกหน้า”

        โมเมสงสัยตัวเองว่าทำไมจึงคิดถึงเรื่อง“โลกนี้-โลกหน้า”ในตอนนี้ คิดทบทวนดูแล้วคิดว่าน่าจะเป็นเพราะมีญาติใกล้ชิดถึงแก่กรรม และอาจมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่งคืออายุมากขึ้นหรือพูดตรงๆว่าแก่แล้ว การคิดถึงความตาย โลกนี้โลกหน้าจึงเกิดขึ้น

            ถ้ามีคนสงสัยถามว่าคนเป็นหมอ เห็นคนเจ็บคนป่วยมากมาย เป็นประจำทำไมไม่คิด ทำเฉยอยู่ได้อย่างไร คำตอบคงเป็นที่เข้าใจหรือเป็นที่รู้ดีกันอยู่ว่า ความเคยชินปิดบังความรู้สึกความคิดความเห็น ทำให้มองข้ามสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ เพราะสาระสำคัญนั้นเมื่อมองเห็นแล้วทำให้หวาดกลัว ทำให้จิตใจเสียสภาวะสมดุล จึงมองข้ามสาระแล้วทำเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนที่มีผู้กล่าวว่า “สัปเหร่อใกล้ผี ชีใกล้พระ”   มองไม่เห็นสาระของสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า มองข้ามความสำคัญของเรื่อง ทำไมจึงเป็นเช่นนี้

            ถ้าอธิบายตามแนวทางจิตวิทยา ก็เป็นเพราะ ความตายเป็นเรื่องที่คนเรากลัวมาก คิดถึงแล้วหวาดเสียว น่าจะเรียกแบบภาษาจิตวิทยาว่า ความตายนั้นเป็น “Emotional loaded stimuli” คือเป็นสิ่งกระตุ้นที่เร้าอารมณ์มาก คิดถึงแล้วกลัว กลัวมาก จิตใจคนเรานั้นมีกระบวนการที่ช่วยปรับสภาพจิตให้เกิดสมดุล ถ้ามีความรู้สึกกลัวมากจนเกินกำลังที่จิตใจจะรับได้ ก็มีกลไกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า กลไกป้องกันตน หรือเรียกตามฝรั่งว่า (Defense mechanisms) มาช่วย ช่วยหาเหตุผล ปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ คิดแบบใหม่แล้วสบายใจ ดังนั้นคนส่วนมากจึงคิดถึงเรื่องถึงความตายตาม Defense mechanisms ว่า

ตายแล้วเป็นอันจบสิ้น ทุกอย่างเป็นโมฆะ

เรื่องตายเป็นเรื่องของคนเจ็บ คนป่วย  หรือคนแก่ เรายังแข็งแรง สุขสบายดี ยัง

ยังไม่ถึงเวลา เรายังไม่ตาย อีกนาน

            น่าสงสารคนตายนะ เคราะห์ร้ายจริง โชคร้าย เราโชคดีที่ไม่ใช่คนมีเคราะห์

            หมอคิดว่าความตายเป็นเรื่องของคนไข้ ผู้ตายไม่ใช่หมอ หมอมีหน้าที่รักษาผู้ป่วย ไม่ได้เป็นคนป่วย 

            คนที่เจ็บหนัก คนที่อายุมากก็มีเหตุผลอีกมากมายหลายอย่างที่ช่วยปรับใจให้เข้าสมดุล เช่นคิดว่าปัจจุบันนี้หมอเก่งเขาคงช่วยได้....

            ฟังดูแล้วจะเห็นว่าแปลก นี่เป็นความคิดหรือวิธีคิดแบบเด็กๆ เป็นเด็กจริงๆ การคิดอย่างนี้ไม่น่าเกิดกับคนที่โตแล้ว คนที่เป็นผู้ใหญ่ คนที่มีความฉลาด แต่ในความเป็นจริงเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น เพราะคนเราในยามที่จิตใจหวั่นไหว ไม่สงบจะพยายามปรับสภาพโดยอัตโนมัติหรือโดยไม่รู้ตัว และไม่เห็นว่า คิดอย่างนั้นไม่เป็นไปตามตรรกะ 

            เมื่อคิดว่าความตายอยู่ห่างไกล คนเราจึงไม่ยอมคิดถึงความตายอย่างจริงจัง ถ้ามีคนพูดถึงก็โกรธ หาว่าปากเสีย เอาเรื่องที่ไม่เป็นมงคลมาพูด พยายามไม่คิด พยายามลืมเรื่องตาย หรืออาจคิดบ้างว่าความตายเป็นฉากสุดท้ายของชีวิต ตายแล้วจบ ไม่ต้องคิดมาก อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถหลอกตัวเองได้ตลอดไป เมื่อใดที่จิตใจมีสิ่งเร้ามากระทบที่ทำให้เสียสมดุล ความคิดเรื่องตายก็กลับมารบกวนใจ

โมเมก็เป็นเช่นกัน ระยะนี้ไม่สามารถทำเป็นลืมเรื่องสำคัญนี้ได้อีกต่อไป ต้องครุ่นคิดถึงการจากโลกนี้ไปเกือบตลอดเวลา คิดแล้วหวั่นหวาด ที่เคยเข้าใจว่าเมื่อตายแล้วก็หมดเรื่องจบสิ้นกันเพียงนั้น ซึ่งเป็นการคิดแบบตัดปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่ความคิดในตอนนี้อีกต่อไป เกิดสงสัยว่าคงมีอะไรต่อเนื่องหลังจากความตาย จินตนาการเรื่องนี้ชักนำให้นึกถึง เรื่องที่อาจารย์แพทย์ผู้ใหญ่ที่โมเมได้ทำงานรับใช้ท่านใกล้ชิดเล่าว่า

หลังจากนักการเมืองผู้เรืองอำนาจมากท่านหนึ่งถึงแก่อสัญกรรมไม่นาน  นักการเมืองนั้นได้มาเข้าฝัน บอกว่าตอนนี้ลำบากมาก เป็นคนแจวเรือจ้าง มีกางเกงตัวเดียว ไม่มีเสื้อใส่ แต่ไม่เดือดร้อนมากนัก สิ่งที่อยากได้ตอนนี้ คืออยากกินแกงนก ช่วยทำบุญไปให้ด้วย

จินตนาการของโมเมเกิดต่อเนื่องต่อไปอีกถึงเรื่องป้าไก่ ซึ่งเป็นยายพี่เลี้ยงเด็กๆลูกหลานของโมเม ป้าไก่ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา หลังจากป้าไก่ตายไม่นาน โมเมก็ฝันเห็นแกนั่งอยู่ที่ชายหาดทรายริมทะเล ลมแรงมากป้าไก่สวมเสื้อผ้าบางๆที่เปียกน้ำ แกหนาวสั่นสะท้านน่าสงสาร โมเมเล่าความฝันให้ลูกป้าไก่ฟัง ลูกสาวป้าไก่บอกว่าวันที่อาบน้ำศพนั้น มีคนเอาน้ำเย็นๆมาอาบให้ และทำให้เสื้อผ้าที่ป้าไก่สวมเปียกไปบ้าง ญาติๆไม่คิดว่าจะเป็นอะไรจึงไม่เปลี่ยนเสื้อให้ใหม่ ป้าไก่ตายไปแล้วไม่หายไปเสียทีเดียวไม่ไปอยู่ที่อื่น อย่างน้อยก็อยู่ในจินตนาการของโมเม

หลายปีมาแล้วแพทย์อาวุโสชาวจีนท่านหนึ่งได้บรรยายธรรมที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ท่านเล่าเรื่องคนที่ตายไปแล้วว่า มีสุภาพสตรีชาวจีนสูงอายุถึงแก่กรรม ลูกหลานทำพิธีกงเด็กให้ ของที่ส่งไปให้ในปรโลกมีเครื่องรับโทรทัศน์ด้วย หลังจากเสร็จงานศพแล้ว อาม่ามาเข้าฝันลูกหลานว่าเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ที่ส่งไปให้ไม่ได้ เพราะไม่มีปุ่มสำหรับเปิด ดูโทรทัศน์ไม่ได้แต่อยากดูโทรทัศน์ ปรากฏว่าปุ่มเปิดโทรทัศน์กงเด็กเครื่องนั้นตกอยู่ที่พื้นห้องที่จัดงานศพ ลูกหลานต้องจัดการส่งเครื่องใหม่ไปให้

ประมาณสองปีก่อนโมเมฝันว่าเดินออกจากบ้านสวนแถวฝั่งธนฯ เดินไปตามคันดิน คิดว่าจะไปเข้าบ้านอีกทางหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เดินไปพบพระพุทธรูปอยู่ใกล้ๆทางผ่าน ที่ตรงนี้ไม่เคยมีพระพุทธรูปรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้หยุดนมัสการคงเดินต่อไป เดินไปทางที่ปรากฏข้างหน้าดูแปลกตา ไม่เหมือนที่เคยพบเห็นมาก่อน แต่คิดว่าลองไปอีกหน่อยคงจะพบทางเข้าบ้าน รู้สึกกังวลผสมความประหลาดใจ แข็งใจเดินต่อไปอีก พบทางข้างหน้าเป็นโขดหิน ริมฝั่งทะเล มีน้ำทะเลซัดเข้ามาเห็นฟองคลื่นขาวกระจาย เป็นที่ไม่เคยมีอยู่ในถิ่นนั้น โมเมเกิดความกลัวมากเพราะยิ่งเดินไปข้างหน้าก็เข้าไปในถิ่นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกว้าเหว่วังเวงชอบกล คิดว่าถ้าหากเดินต่อไปคงหาทางกลับบ้านไม่ได้ หันหลังกลับมามองทางที่ผ่านมา พอเห็นเค้าทางที่คุ้นเคยอยู่บ้างจึงตัดสินใจเดินกลับทางเก่า ในที่สุดมาถึงพระพุทธรูปจึงตรงเข้าไปกราบพระ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจากการกราบพระ ทันใดนั้นสถานที่แปลกๆหายวับไป รู้สึกว่ากำลังยืนอยู่ใกล้ทางเข้าบ้าน สถานที่นั้นเป็นที่เคยอยู่ หายกลัว ดีใจ โล่งใจ กลับเข้าบ้านได้ คุณพระช่วยแท้ๆ ความฝันนั้นแจ่มชัดเหมือนจริง ทั้งภาพที่ปรากฏ และความรู้สึก เข้าใจว่าถ้าเดินต่อไปไม่หยุด คงหลงทางระหกระเหินไม่ได้กลับบ้าน ตอนนั้นมีความรู้สึกว้าเหว่เดียวดายมาก ตัวคนเดียวจริงๆ ไม่ทราบว่าการจากไปโลกอื่นของบางคนจะเป็นอย่างนี้บ้างหรือไม่

โมเมเล่ามายืดยาวเพราะพยายามหาเหตุผลมาอ้างว่ามีโลกอื่นนอกเหนือจากโลกที่อยู่ในเวลา(ที่ตื่นอยู่)นี้ ด้วยเชื่อว่ามีโลกอื่นหรือโลกที่คนตายไปแล้วไปอยู่  แต่โลกหรือที่ไปของคนที่เสียชีวิตแล้ว คงผิดแผกแตกต่างจากโลกที่เราอยู่นี้ และน่าจะมีโลกหลายแบบที่มีความแตกต่างจากโลกนี้มากมาย  ทุกวันนี้โมเมเชื่อว่าโลกอื่นมีจริง อย่างน้อยก็มีอยู่ในจินตนาการ นี่โมเมกำลังเดา เป็นการแสดงธรรมชาติของใจคนเมื่อไม่รู้ ก็เดา คิดหาคำตอบในสิ่งที่ไม่รู้ 

เป็นอันว่าขณะนี้โมเมเชื่อว่ามีโลกหน้า แม้ไม่มั่นใจเต็มร้อยแต่มีความเชื่อมั่นสูงมาก ต่างจากความคิดสมัยที่เป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่แรกเริ่ม ความอยากรู้ผลักดันให้ไปอ่านตำราทางพระพุทธศาสนา พระท่านสอนไว้ว่าคนตายแล้วไม่สูญ  คนที่ยังไม่สิ้นกิเลสตายไปแล้วมีที่ไปสองทาง คือทางดีกับทางไม่ดี ทางดีพระท่านเรียกว่าสุคติ ทางไม่ดีเรียกว่าทุคติ ได้ค้นหาความรู้ต่อไปอีกได้ความว่า

ทางดีไปเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม

ทางไม่ดีไปเป็นสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย

อ่านตำราแล้วจิตใจไม่ค่อยยินยอมเชื่อแต่ไม่กล้าคัดค้านเพราะพระท่านว่าอย่างนั้น สาเหตุที่ไม่ยินยอมพร้อมใจเชื่อเพราะค้านกับความรู้สึกเดิมหรือความสำคัญที่เก็บไว้ในใจมานานแล้วว่า

            ชาตินี้เกิดเป็นคนชาติหน้าก็เป็นคน

            ชาตินี้เป็นผู้ชายชาติหน้าก็เป็นผู้ชาย

            ยอมให้เปลี่ยนไปได้บ้าง เช่นชาติใหม่ความรู้ความสามารถ ทรัพย์สินเงินทอง รูปร่างหน้าตาผิดจากเดิมได้ แต่ไม่ยินยอมหรือแม้แต่คิดว่าคนอาจเป็นสุนัข สุนัขอาจเกิดเป็นคน

ความคิดสองทางนี้ต่อสู้กันนานมากในที่สุด ความคิดอย่างที่ได้อ่านจากตำราหรือที่พระสอนเป็นฝ่ายมีชัย โมเมยอมรับว่าชาติหน้ามีโอกาสเกิดเป็นอะไรก็ได้ ถ้าคิดว่าการเกิดเหมือนการเสี่ยงทายหรือการแทงหวย หรือเสี่ยงเซียมซี โอกาสที่จะได้ใบดีหรือได้ใบเซียมซีร้ายๆก็เป็นได้ทั้งสองทาง เชื่ออย่างนี้แล้วโมเมกลัว เพราะเท่าที่เคยแทงหวยไม่เคยถูกรางวัลใหญ่เลย มีแต่ถูกกิน โมเมอยากแทงหวยชีวิตให้ถูกแจ๊กพอต อยากหาวิธีแทงให้ถูก ไม่อยากพลาด เพราะแทงได้ครั้งเดียวพลาดแล้วพลาดเลย โมเมครุ่นคิดหาทางเล่นหวยชีวิตให้ได้เป็นมือเหนือไม่ต้องการเป็นมือรอง ในที่สุดโมเมคิดได้ คิดได้แล้วดีใจมาก อยากชวนท่านผู้อ่านเล่นการพนันหวยชีวิตแบบโมเม มีวิธีการดังนี้

ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจเรื่องหวยชีวิตว่า เวลาสำคัญคือเวลาหวยออก นั่นคือการเคลื่อนย้ายจากโลกนี้ไปอีกโลกหนึ่ง การย้ายนี้น่าจะเป็นอย่างที่พระท่านเรียกว่า อาสัญกรรม พูดง่ายๆว่าการตายนั่นเอง พระท่านสอนว่าจะไปที่ดี หรือไปที่ไม่ดีอยู่ที่กระบวนการตาย เวลาตาย ถ้าเราปรับกระบวนการตายให้ดีก็ไปดี ไปที่สุขสบาย กระบวนการตายไม่ดีไปสู่ที่มีแต่ความทุกข์ยาก ลำบาก กรรมขณะตายเป็นตัวกำหนดที่ไป หรือพูดว่าอาสัญกรรมเป็นตัวกำหนดโลกอนาคตของคนตาย  เรามีทางที่จะสร้างโอกาสให้อาสัญกรรมเป็นกรรมที่ดีได้ แม้ไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่มีโอกาสดีกว่าปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

ถ้าจะกล่าวเปรียบชีวิตเราทุกคนคล้ายนักรบชาวมงโกลก็น่าจะมีส่วนถูก ทหารชาวมงโกล ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตอยู่บนหลังม้า กินนอนบนหลังม้า ม้าพานักรบไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ค่อยมีเวลาลงจากม้า คนเราก็เช่นเดียวกัน เรานั่งอยู่บน “กรรม” ของตัวเราตลอดเวลา

กรรมดีหรือกรรมขาวเป็นม้าขาว

กรรมชั่วหรือกรรมดำเป็นม้าดำ

            ม้าดำและม้าขาวนี่แหละจะพาท่านไปแทงหวยชีวิต ถูกกินเรียบ หรือถูกแจ๊กพอทขึ้นอยู่กับพาหนะที่ท่านขี่ โชคดีเหลือเกินที่เรามีโอกาสเลือกม้า นั่นหมายความว่าเราถูกหวยชีวิตได้รางวัลใหญ่แน่ ถ้านั่งอยู่บนหลังม้าขาวในขณะเคลื่อนย้ายออกจากโลกนี้ไปยังปรโลกหรือโลกหน้า  เพื่อความมั่นใจให้ได้เดินทางไปสู่ที่ดี โมเม เตรียมตัวดังนี้

           

เรียนรู้วิธีเลือกม้า จำแนกให้ได้ว่าเป็นม้าขาวหรือม้าดำ 

มุ่งมั่นสะสมม้าขาวเก็บไว้ในคอกให้มากเท่าที่มีโอกาสอำนวย

            ไม่สะสมม้าดำ

            ขี่ม้าขาวเป็นประจำ

            ถือเอางานเลือกม้า ขี่ม้าเป็นงานหลัก พยายามระวังไม่เผลอ

 

เรียนรู้วิธีเลือกม้า จำแนกให้ได้ว่าเป็นม้าขาวหรือม้าดำ ถ้าการทำกรรมขาวหรือทำบุญและการทำบาปหรือกรรมดำเป็นเหมือนการเลือกม้าก็เป็นงานที่ทำง่าย แต่แท้จริงแล้วงานทั้งสองอย่างไม่เหมือนกัน เพราะการกระทำหรือกรรมที่คนเราทำบางครั้งแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นบุญหรือเป็นบาป การกระทำอย่างเดียวกันเป็นบุญก็มี เป็นบาปก็มี ได้บุญมากก็มี ได้บุญน้อยหรืออาจไม่ได้บุญก็มีอีกเช่นกัน เช่นหมอรักษาไข้ด้วยหวังที่จะได้เงินทอง ถ้าคิดค่าตอบแทนเกินกว่าที่ควรได้นอกจากไม่ได้บุญแล้วก็ได้บาปด้วย การวินิจฉัยขั้นสุดท้ายจึงอยู่ที่ใจ หรือเจตนาในการกระทำนั้นๆ บุญหรือบาปจึงอยู่ที่ใจ ดูใจจึงรู้ว่าทำบุญหรือทำบาป  แต่ตามที่เป็นจริงดูใจแล้วไม่รู้ว่าบุญหรือบาปก็มี เพราะใจคนนั้นมีความซับซ้อนมาก หลอกตนเองได้แนบเนียน ทำให้ตนเองหลงเชื่อ หลงสำคัญผิดก็มี ดังนั้นการศึกษาตนเอง ให้มีความรู้ความเข้าใจตนเองจึงเป็นงานสำคัญ อย่างน้อยก็เป็นการช่วยวินิจฉัยกรรมของตัวเรา ว่าดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควร หลักการดูใจโดยย่อนั้นคือต้องฝึกฝนให้ทำใจนิ่ง สงบ สงบแล้วจึงดูใจ ใจที่ไม่นิ่ง ไม่สงบเวลามองดูใจ จะไม่เห็นหรือรู้ใจตามที่เป็นจริง ตัวอย่างที่พอจะนำมาเปรียบเทียบน่าจะเหมือนคนที่นั่งบนรถไฟที่วิ่งไปอย่างเร็ว คนบนรถเห็นก้อนหินริมทางรถไฟเป็นแผ่นติดกัน ต่างจากการเห็นขณะที่รถจอด คนบนรถมองเห็นหินแต่ละก้อนได้ชัด นอกจากความที่ใจไม่นิ่งทำให้การเห็นบิดเบี้ยวแล้ว ใจที่มีความปนเปื้อนยิ่งทำให้เห็นผิดมากยิ่งขึ้น สรุปว่าการเลือกม้าต้องทำอย่างรอบคอบ มีสติ จึงจะเลือกได้ม้าขาว ไม่หลงเลือกม้าดำ

 

ม้าขาวหรือกรรมดี เราสามารถหาม้าขาวหรือทำกรรมดีได้ด้วย

การให้ ทำบุญทำทาน ความเอื้อเฟื้อ ความโอบอ้อมอารี ความเป็นมิตร

ไม่เบียดเบียน

สำรวมระวังรักษาใจ

            -------------------------

การให้เป็นวิธีจับม้าที่คนไทยเราชอบทำ คนไทยคุ้นเคยกับการจับม้าขาววิธีนี้  แต่บางครั้งจับได้ม้าดำแทนที่จะเป็นม้าขาว เคยได้ยินคนพูดว่าให้แล้วเสียดายของ ให้คนผิดเพราะให้แล้วคนรับไม่สำนึกบุญคุณ เสียของด้วยและได้ม้าดำแถมกลับมาอีกด้วย โมเมอยากถอนคำพูดที่ว่าคนไทยเราชำนาญในการจับม้าด้วยวิธีการให้ เพราะนึกถึงคนป่วยทางจิตรายหนึ่งที่ไม่กล้าอาบน้ำ ไม่อยากเข้าห้องน้ำ เพราะเวลาเข้าไปแล้วมีความรู้สึกว่าพระพุทธรูปลอยลอดใต้หว่างขา เกิดความตกใจ หวาดกลัว รู้สึกผิดบาป เมื่อพิจารณาจิตใจผู้ป่วยรายนี้ตามหลักจิตวิเคราะห์แล้วพบว่า อาการที่เกิดนั้นเป็นส่วนผสมของความโกรธพ่อที่ยกทรัพย์สินจำนวนมากถวายวัด ทรัพย์สินที่ดินนั้นควรจะเป็นมรดกของผู้ป่วย แต่พ่อเอาไปถวายวัด ผู้ป่วยไม่ได้รังเกียจการทำบุญแต่รู้สึกว่าพ่อทำบุญมากเกินไป เป็นการทำบุญที่เบียดเบียนลูก ผู้ป่วยไม่กล้าแสดงความโกรธพ่อตรงๆจึงพาลโกรธพระ ความโกรธของผู้ป่วยออกมาในรูปแบบที่บิดเบือนจากเรื่องจริง นั่นคือให้พระพุทธรูปลอดใต้หว่างขา และแล้วก็เกิดความรู้สึกผิดบาปที่ได้ทำกับพระอย่างนั้น การที่พ่อบริจาคทรัพย์สินราคาหลายสิบล้านบาทถวายวัดไม่ทราบว่าได้บุญมากน้อยเพียงใด แต่ผลเสียหรือบาปที่เห็นนั้นมากมาย

                        ลูกป่วย

                        พ่อเป็นทุกข์เพราะลูกป่วย

                        คนใกล้ชิดวิตกกังวล เครียด

                        ลูกโกรธพ่อ น้อยใจพ่อ

                        พ่อเสียใจที่ลูกไม่เห็นคุณค่าของการทำบุญ

                        ลูกอาจเบื่อการทำบุญ

                        ลูกคิดว่าพระเบียดเบียน 

                        .................................

            การให้ ให้ได้บุญจึงไม่ใช่ทำได้ง่ายๆเสมอไป ได้บุญหรือบาปสำคัญที่ใจ ภาวะของใจ ความคิดเกี่ยวกับการให้  เรื่องนี้ชวนให้โมเมคิดถึงนิทานฝรั่งเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบที่มาและความดั้งเดิมชัดแจ้ง แต่เนื้อหาสาระที่จำได้น่าจะเป็นประโยชน์ นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันเดินทางไปเที่ยวยุโรป ถึงเมืองๆหนึ่ง น่าจะเป็นเมืองในประเทศอิตาลี มีคนหลายคนกำลังสลักหิน จึงเข้าไปชมการทำงานและคุยกับคนสลักหินสี่คน นักท่องเที่ยวถามคนสลักหินว่าทำอะไร

                        คนสลักหินคนที่หนึ่ง หันมาสบตาด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตรนัก คล้ายจะบอกว่า ถามอะไรโง่ๆ ก็เห็นคนสกัดหินอยู่ แต่เขาก็ตอบว่า “นายสั่งให้สกัดหิน เป็นงานซ้ำซากจำเจ ทำอย่างนี้ทุกวัน น่าเบื่อ”

                        จึงเดินไปถามคนที่สองๆตอบว่า “สลักหิน เป็นอาชีพที่ผมหาเลี้ยงลูกเมีย มีรายได้มากพอสมควรกับอัตภาพ”

                        ส่วนคนที่สามตอบว่า “ผมทำงานศิลปะ เป็นงานที่ผมรัก ผมมีความสุขกับงานนี้”

                        คนที่สี่ตอบว่า “ผมกำลังสลักหินเพื่อสร้างวิหารไว้ให้เป็นที่พึ่งทางใจของผู้คน”

            คนสี่คนทำงานอย่างเดียวกัน แต่ได้ผลทางใจแตกต่างกัน การทำบุญทำทานก็เช่นเดียวกัน ควรสำรวจตนให้ดีว่าทำเพราะอะไร คนบางคนให้เพราะถูกเรี่ยไร ให้เพราะไม่กล้าปฏิเสธ อายที่จะบอกว่ายังไม่ศรัทธาหรือไม่พร้อม บางคนให้เพราะอยากให้คนเห็นว่าใจบุญ บางคนให้เพราะคนบอกบุญมีบุญคุณ และบางคนให้เพราะเห็นว่าเป็นบุญ ดังนั้นการทำบุญหรือการทำกรรมขาวหรือการจับม้าจึงควรทำอย่างรอบคอบ ทำด้วยใจที่สงบเห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของบุญ มีเจตนาที่เป็นบุญ  เพื่อจะได้ม้าขาวมาสะสมไว้ในคอก ไม่เผลอเอาม้าดำมาเก็บไว้

 

            การไม่สะสมม้าดำ ม้าดำที่ทำกันมากได้แก่

ความหวงแหน ตระหนี่ ไม่ให้ไม่เสียสละ เสียดาย

การเบียดเบียน การแก่งแย่งช่วงชิง การมองกันในแง่ร้าย การใส่ร้ายป้ายสี

และการที่ไม่รักษาดูแลใจให้ดี

...........................  

            การสะสมม้าดำหรือกรรมดำทางกายกรรม เป็นกรรมดำที่ชัดเจน เห็นง่าย แต่ทำได้น้อยกว่ากรรมทางวาจา การพูดไม่ต้องตระเตรียมการ ปัจจัยในการทำกรรมดำทางวาจามีเพียงอย่างเดียวคือ ผู้ฟัง ถ้ามีคนฟังแล้วพูดออกมาได้เลย การพูดแบบกรรมดำหรือม้าดำที่ทำกันบ่อยๆได้แก่

                       

การพูดปด

                        การพูดส่อเสียด

                        การนินทา ใส่ร้าย

                        การพูดเพ้อเจ้อ

                        การพูดหยาบคาย 

 

เคยมีนักวิชาการชาวอเมริกันบอกว่า  คนอเมริกันพูดปดโดยเฉลี่ยวันละ สองคำ (Two lies) ไม่ทราบว่าคนไทยเราพูดปดมากหรือน้อยกว่าคนอเมริกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ข้อสำคัญอยู่ที่เราพากันเชื่อหรือมีความรู้สึกว่าการพูดปดเป็นเรื่องเล็กน้อย และบางครั้งอ้างความชอบธรรมที่จะพูดปด อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า White lieคือถ้าไม่พูดปดแล้วจะเสียหาย จึงพูดปดเพื่อแก้ปัญหา นี่เป็นวิธีคิดที่พยายามทำให้เข้าใจว่า การพูดปดเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม การไม่พูดความจริงจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ บาปมากบาปน้อย โมเมไม่ทราบ ที่โมเมทราบนั้นคือมีผู้ทรงศีลกล่าวว่า

 

ใครก็ตามที่สามารถพูดปดได้ ความชั่วอย่างอื่นที่คนผู้นั้นทำไม่ได้ไม่มี

 

เราคงไม่กล้าเถียงพระ การพูดปดแม้จะมีเหตุผลอันควรทำเพียงใดก็ตามเป็นความผิด เป็นบาปแน่ๆ

  การพูดผิดดังกล่าวเป็นเรื่องที่เราพากันคิด พากันเข้าใจว่าเป็นเรื่องเล็ก และทำกันมาก ทำกันเป็นประจำเป็นผลเสียที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เมื่อทำมากทำบ่อยครั้งก็จะทำได้ง่าย เป็นการสะสมม้าดำไว้ในคอกโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่มองเห็นโทษแล้วอยากแก้ไข จะแก้ไขอย่างไร ถ้าท่านผู้อ่านยังไม่มีวิธีแก้ โมเมเสนอวิธีแก้ดังนี้

            ก่อนอื่นต้องพิจารณาให้เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นกรรมดำ เป็นบาป

            ทำจิตใจมุ่งมั่นที่จะแก้ไข

            พยายามเดินตามพระ พระท่านสอนให้พูด วาจาสุภาษิต นั่นคือการพูดทุกครั้งให้ยึดหลักสำคัญห้าประการ คือ

                        พูดความจริง

                        เรื่องที่พูดนั้นเป็นประโยชน์

                        พูดถูกเวลา

                        พูดเพราะ

                        และผู้พูด พูดด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตา

 

โมเมคิดถึงครั้งที่เป็นนักศึกษาแพทย์ โมเมขยันทำงาน เฝ้าไข้ผู้ป่วยอย่างดีทั้งในเวลาที่เป็นหน้าที่และนอกเวลาที่ไม่ได้อยู่เวรแต่ ทำเพราะสนใจและเห็นคุณค่า วันนั้นมีอาจารย์อาวุโสมาตรวจงานตอนดึกและพบโมเมเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วย ท่านพูดว่า

คุณหมอ...ขยันมากนะคะ น่าชมเชย จบแล้วสนใจมาทำงานแผนกนี้หรือคะ...ท่านอาจารย์ยิ้มแย้มและมีแววตาล้อเลียนโมเม.....(โมเมต้องกราบขออภัยท่านอาจารย์ที่เอาเรื่องนี้มาเป็นตัวอย่างและขอให้ท่านอาจารย์ได้รับบุญที่เกิดจากงานนี้ด้วยครับ)

ถ้าวิเคราะห์ การพูดของท่านอาจารย์

                        เรื่องที่ท่านพูดเป็นความจริง..... โมเมขยัน

                        เรื่องที่พูดนั้นเป็นประโยชน์.....ให้กำลังใจศิษย์

                        พูดถูกเวลา.......เพราะชมคนในขณะที่ทำดี

                        พูดเพราะ......ท่านอาจารย์พูดเพราะทั้งน้ำคำและสำเนียง

                        และผู้พูด พูดด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตา....มีแววล้อเลียนและเมตตา

ท่านอาจารย์ทำข้อสอบไค้คะแนนเกือบเต็มร้อย ที่ขาดไปเพราะท่านผสมความรู้สึกล้อเลียนลงไปในความเอ็นดูด้วย จึงไม่ได้คะแนนเต็ม  

 ฟังเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าการพูดดี พูดถูกต้องนั้นทำยากมาก แม้ทำยากปานใดก็เป็นงานที่ผู้มุ่งมั่นที่จะดำเนินชีวิตไปบนทางแห่งความดีควรทำ แต่คงมีผู้อ่านหลายท่านมีปฏิกิริยาโต้แย้ง ไม่เห็นด้วย ที่พบบ่อยๆ คือส่ายหน้าหัวเราะและกล่าวว่า  

เราไม่ใช่พระโสดาบัน เราเป็นปุถุชน จะเอาอะไรกันนักหนา

การกล่าวอย่างนี้ ผู้พูดไม่เพียงไม่ยอมรับม้าขาว ไม่เห็นว่าการพูดไม่ถูกต้องตามหลักวาจาสุภาษิตเป็นความผิดร้ายแรง หรือเป็นเรื่องไม่สำคัญเท่านั้น แต่ยังจูงใจให้คนอื่นเห็นดีเห็นงามตาม ให้รับม้าดำไปเลี้ยงอีกด้วย  ทำอย่างนี้เป็นการสร้างม้าดำให้ตนเองเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัว โมเมอ้อนวอนท่านผู้เป็นที่รักทุกท่านให้พยายามเดินตามคำพระสอน เชื่อว่าการทำตามพระเป็นทางแห่งความดี เป็นการเดินไปบนทางที่ถูกต้องดีงาม อาจทำได้ยากในเบื้องต้น ทำได้ไม่ครบถ้วน แต่ถ้าหากมีใจมุ่งมั่นในการทำความดีจริงๆต้องทำได้ คนเรามีศักยภาพสูง ต้องทำได้  เริ่มต้นทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำได้บางครั้ง และทำได้ดีในที่สุด โมเมเองก็ยังทำไม่ได้ แต่มีความมุ่งมั่นจะทำให้ได้ หวังว่าคงสำเร็จในวันหนึ่ง

อดนึกถึงคำสอนที่อาจารย์วศิน อินทสระ ที่ท่านเขียนในหนังสือทางแห่งความดี ว่าบุคคลแม้ปรารถนาความเป็นคนดี แต่เมื่อไม่รู้จักทางแห่งความดี ก็ไม่อาจทำให้ความปรารถนานั้นเต็มบริบูรณ์ได้ ทำนองเดียวกัน บุคคลแม้ต้องการหลีกความชั่ว ไม่เห็นโทษของความชั่ว เขาจักละเว้นความชั่วได้อย่างไร ..........

           

การขี่ม้าขาว  (ทำกรรมดี) เป็นประจำ เรื่องนี้ชวนให้คิดถึงการจอดรถของโมเมคือชอบจอดในที่เคยจอดเป็นประจำ บางวันซึ่งเกิดขึ้นนานๆครั้ง ที่เคยจอดประจำไม่ว่างมีรถจอดอยู่ก่อนแล้ว ต้องหาที่จอดใหม่ เมื่อเลิกงานโมเมเดินไปที่ๆเคยจอดรถไม่พบรถ ต้องเดินหารถของตนเอง ยามที่เฝ้าที่จอดรถร้องเรียกบอกว่ารถของท่านอยู่ทางนี้ครับ พูดเสียยืดยาวเพื่อจะบอกว่าคนเรานั้นถ้าทำอะไรเป็นประจำ การกระทำนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างอัตโนมัติ ทำไปโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นถ้าเราเลือกม้าขาวเป็นพาหนะเป็นประจำ ในเวลาฉุกเฉิน หรือเจ็บป่วย เช่นตอนที่ออกเดินไปสู่โลกหน้าไม่มีเวลาหรือสติที่จะเลือกม้าโอกาสที่จะจับม้าขาวเป็นพาหนะสำหรับเดินทางก็เป็นไปได้มากทีเดียว เรื่องนี้คงเป็นอย่างที่พระท่านสอนให้ทำดีเป็นประจำ ทำเป็นอาจิณ ทำจนคุ้นเคยกับการทำความดี จนกระทั่งการทำความดีเป็นงานที่ทำได้ง่าย คงเหมือนกับที่ท่านสอนว่าเป็นอาจิณกรรมกระมัง

ผู้ใดก็ตาม ขี่ม้าขาวหรือทำกรรมขาวเป็นนิตย์ ไม่ทำกรรมดำหรือทำชั่ว และเฝ้าระวังรักษาดูแลใจ ได้ชื่อว่าเป็นคนที่เดินบนเส้นทางแห่งความดี คนอย่างนี้มีสุคติเป็นที่หวังได้

ผู้ใดก็ตาม ขี่ม้าดำหรือทำกรรมดำหรือทำชั่วอยู่เสมอ ไม่ทำกรรมขาวหรือกรรมดี และไม่สนใจเฝ้าระวังรักษาดูแลใจตน ได้ชื่อว่าเป็นคนที่เดินบนเส้นทางหายนะ คนอย่างนี้มีทุคติเป็นที่หวังได้

 

            ถ้าต้องจัดลำดับความสำคัญของงานในชีวิต  ถือว่างานเลือกม้าขาว ขี่ม้าขาวเป็นงานหลัก เป็นงานสำคัญที่สุดในชีวิต ต้องทำเรื่องนี้ก่อนเรื่องอื่น โมเมคิดถึงแพทย์ที่ถูกคนไข้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการรักษาผิดพลาด สาเหตุสำคัญที่ทำให้แพทย์ตกเป็นจำเลยมีสองเรื่องคือ เลินเล่อ กับ ประมาท ขออนุญาตยกตนเองเป็นตัวอย่างเรื่องความเลินเล่อกับความประมาท ดังนี้

เคยมีคนชมโมเมว่าขับรถดีมาก  แต่มีข้อเสียคือไม่เติมน้ำมันรถจนกว่าน้ำมันใกล้หมดถัง สมมติว่าวันหนึ่ง โมเมขับรถขึ้นทางด่วนและน้ำมันหมดบนทางด่วน อยากถามท่านผู้อ่านว่าเรื่องนี้โมเม เลินเล่อหรือประมาท

คำตอบที่ถูกต้อง คือ ไม่ทราบ เพราะข้อมูลหรือโจทย์ที่ให้ไม่ครบถ้วนถ้าหากได้ข้อมูลครบถ้วน คำตอบควรเป็นดังนี้ 

                        ถ้าโมเมไม่ตรวจดูน้ำมันก่อนออกรถขึ้นทางด่วนว่ามีมากพอหรือไม่ นั่นเป็นการ เลินเล่อ

                        ถ้าโมเมตรวจรถ ดูน้ำมันก่อนออกรถขึ้นทางด่วนว่ามีไม่มาก อาจพอหรือไม่พอไปถึงปลายทาง แต่อยากลองเสี่ยงขับไป นั่นเป็นการประมาท

            จะเป็นความเลินเล่อหรือความประมาทก็ตามไม่ดีทั้งสองอย่าง รถตายอยู่บนทางด่วนซึ่งอันตรายมาก คนเราก็เช่นเดียวกัน มีรถชีวิตสำหรับขับคนละคัน ใครก็ตามไม่ศึกษา ไม่หาความรู้เรื่องชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าดำเนินชีวิตโดยไม่ทราบว่า

-ตนเองมีหวยชีวิตติดตัวมาด้วย มีมาตั้งแต่เกิด และ

-หวยนี้จะออกในวันที่ต้องออกไปจากโลกนี้

-รวมทั้งเราสามารถทำให้หวยนี้ออกรางวัลงามได้

-ถ้าไม่สนใจดูแล หวยจะออกตามยถากรรม ซึ่งมีหวังถูกกินและส่งตัวไปสู่ทุคติ หรือโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ร้อน คนที่ขับเคลื่อนชีวิตอย่างนี้เรียกว่า ใช้ชีวิตแบบเลินเล่อ

        ผู้ใดก็ตามที่ทราบว่า

-ตนเองมีหวยชีวิตติดตัวมาด้วย มีมาตั้งแต่เกิดและ

-หวยนี้จะออกในวันที่จากโลกนี้

-รวมทั้งเราสามารถทำให้หวยนี้ออกรางวัลงามได้

-แต่ไม่ได้สนใจดูแลล๊อกหรือทำให้หวยออกรางวัลงาม หรือคิดว่ายังมีเวลาอีกมาก ดำเนินชีวิตตามยถากรรม คนที่ขับเคลื่อนชีวิตอย่างนี้เรียกว่า ใช้ชีวิตอย่างประมาท

การใช้ชีวิตอย่างเลินเล่อก็ตาม ใช้ชีวิตแบบประมาทก็ตาม หรือเป็นทั้งเลินเล่อและประมาทไม่ใช่เป็นทางชีวิตที่ดี ที่ปลอดภัยเลย ดังนั้นเราควรได้สำรวจตน พิจารณาตนว่ากำลังใช้ชีวิตอย่างไร มองให้เห็น ให้เข้าใจๆแล้วจึงดำเนินชีวิตบนทางของความดีงาม

  ทุกคนเกิดมาได้อัตภาพความเป็นมนุษย์พร้อมกับหวยชีวิตคนละใบทุกคน สิ่งที่ได้มานี้สูงค่า ถ้ารู้จักดูแลรักษา เข้าใจธรรมชาติของชีวิต ทำให้หวยออกรางวัลงาม ด้วยการดำเนินชีวิตไปบนทางแห่งความดี คือ ทำกรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว และหมั่นดูแลรักษาจิตใจให้สงบผ่องแผ้วและระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ เส้นทางนี้เป็นทางไปสู่ชีวิตที่ดีงาม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

โมเมเชื่อคำพระสอนว่าคนเราที่พบกันในโลกนี้เคยผูกพันกันมานานแล้วตั้งแต่อดีตชาติ เคยทำบุญ ทำบาปร่วมกันมาจึงได้มาพบกัน ทางข้างหน้าของคนหลายคน ยังมีอีกยาวไกล ถ้าคิดถึงระยะทางทั้งหมดที่แต่ละคนต้องเดินต่อไปอีก ช่วงที่อยู่ในโลกนี้ก็นับว่าสั้นกว่ากันมาก โมเมจึงอยากให้ทุกท่านดำเนินชีวิตด้วยความระวัง ไม่เลินเล่อ ไม่ประมาท ขอให้ความรักความตั้งใจดีที่โมเมมีต่อ ญาติมิตร สาธุชนและท่านผู้อ่านทุกท่าน เป็นพลังเป็นปัจจัยให้ท่านได้มองเห็นความจริงของชีวิตข้อนี้ แล้วดำเนินชีวิตอย่างไม่เลินเล่อ ไม่ประมาท มีชีวิตเป็นสุขทั้งในโลกนี้ และโลกหน้าทุกๆคน

                                    --------------------------------

เรื่องหวยชีวิต     เรียบเรียงโดย      ศาสตราจารย์เกียรติคุณนาบแพทย์สมพร บุษราทิจ พิมพ์แจกในงานทอดกฐินสามัคคี  วัดเสาธงทอง ตำบลจำปาหล่อ อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง วันอาทิตย์ที่ ๑๘ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๐ 

 บุญกุศลที่เกิดจากข้อเขียนและการทอดกฐินนี้ โมเมขออุทิศให้แก่คุณสมจิต พิพิธพจนการณ์ญาติสนิทที่ล่วงลับแล้ว เธออยู่แห่งหนใดก็ตาม โปรดรับทราบถึงความตั้งใจนี้ และจงอนุโมทนาบุญ ขอให้ผลบุญส่งผลให้เธอได้เป็นสุขในที่ทุกสถาน ทุกกาล ทุกเมื่อเถิด 

                                         บอกบุญ

            คณะกรรมการทอดกฐินวัดเสาธงทอง ตำบลจำปาหล่อ อำเภอเมืองอ่างทอง จะทอดกฐินในวันอาทิตย์ที่๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ รวบรวมปัจจัยจากงานนี้บูรณะวัดที่ทรุดโทรมจากน้ำท่วมใหญ่ปี ๒๕๔๙ จึงเรียนเชิญญาติมิตรและสาธุชนร่วมทำบุญทอดกฐิน จะเป็นการอนุโมทนา หรือส่งปัจจัยสมทบกองกฐินด้วยก็ได้ หากท่านใดสนใจส่งปัจจัยเข้ากองกฐิน โปรดโอนเงินผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาศิริราช บัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “หมอสมพร” เลขที่ 016-4-10816-4

        พระท่านบอกว่า ในสังสารวัฏที่ยาวไกลนี้ การพบกันในโลก หรือชีวิตที่อยู่ในโลกเป็นเพียงเศษเสี้ยวของการเดินทางอันยาวไกล คนที่เคยทำบุญร่วมกัน เคยเป็นญาติมิตรกัน หรือแม้แต่เคยเบียดเบียนกัน ได้มีกรรมร่วมกันมาก่อนจึงมาพบกันอีกในชาตินี้ ทำดีด้วยกันก็ได้มาพบกันอย่างดี ทำไม่ดีก็พบกันในสภาพที่ไม่ดี

            การทอดกฐินครั้งนี้เป็นกรรมดีที่พวกเรามีโอกาสทำร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง ขอให้ทำให้เป็นบุญ เพราะบุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า หวังว่าบุญนี้จะเป็นเหตุชักนำให้เราได้พบกันอีก และพบกับในสภาพที่ดีงาม

            คณะกรรมการนำเสนอเรื่องหวยชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องในจินตนาการหรือแนวคิดของโมเมเกี่ยวกับโลกนี้-โลกหน้า ให้สาธุชนได้คิดพิจารณา หากมีข้อผิดพลาดประการใดขอให้ท่านผู้รู้โปรดเมตตาชี้แนะ สั่งสอนด้วย  

                                                            ....................

 รายนามกรรมการทอดกฐิน

ประธาน

ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์สมพร บุษราทิจ

กรรมการ  คุณตรีนุช ชูแข

 คุณสุวพัชร พิพิธพจนการณ์               คุณสุพนิต-คุณสมมาศ ชูแข                  คุณประยงค์ บุษราทิจ

คุณ วิรัช บุษราทิจ                       คุณประทับ-คุณจุฑามาศ สูตะบุตร          คุณบุญส่ง-คุณเอียดศิริ ฉายากุล

คุณ ประสูติ-คุณ วิทนา สูตะบุตร          คุณราตรี ทองสุภานนท์                      คุณสมพันธ์-คุณทัศนีย์ บุษราทิจ

คุณวิจักษณ์ พิพิธพจนการณ์                                                                                          คุณจินตนา บุษราทิจ

คุณ รุจิรา พิพิธพจนการณ์และคณะ                                                                   คุณวนิดา บุษราทิจ

คุณ วินัย พิพิธพจนการณ์                                                                    คุณ ยาใจ บุษราทิจ

พตอ.วิโรจน์-คุณ สวนี พิพิธพจนการณ์                                                                คุณกฤษณะ-คุณจงจิต  ฉายากุล

คุณ นลพรรณ  พิพิธพจนการณ์                                                                         คุณ นงนุช ฉายากุล

คุณ วริทธิ์ พิพิธพจนการณ์                                                                        คุณทัศนา ฉายากุล

คุณ ศิวพร พิพิธพจนการณ์                                                                        คุณ สาธิต-คุณขนิษฐา ฉายากุล

คุณ วิภาดา สูตะบุตร                                                                  คุณวิจิตรา ฉายากุล    

คุณ มัทนิน พิพิธพจนการณ์                                                                        พญ.วลัย บุษราทิจ

คุณ ศิราภา พิพิธพจนการณ์                                                                        คุณชัยณรงค์-คุณชาดา ลิมป์กิตติสิน

คุณ เพียรพุฒิ พิพิธพจนการณ์                                                                   นพสนทรรศ-คุณรัตนาวดี บุษราทิจ

 

   คุณอนันต์ นิติพงษ์ศรี และคณะ

  

ท่านที่สนใจร่วมทำบุญโปรดโอนเงินผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาศิริราช

                                    ในบัญชีออมทรัพย์ชื่อ “หมอสมพร”

                        เลขที่ 016-4-10816-4

ถ้าท่านต้องการใบอนุโมทนา กรุณาแจ้งความจำนงไปที่

                                    ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์สมพร บุษราทิจ

                                    ๖๖/๙ ซอยรุ้งเพชร บางขุนนนท์

                                    บางกอกน้อย กทม ๑๐๗๐๐

 

 

 

<ห้องรับแขก

  คลินิคจิต-ประสาท 563 ถ.สามเสน แขวงวชิรพยาบาล  เขตดุสิต  กทม 10300  โทร. 0-2243-2142  0-2668-9435

   ส่งเมล์ถึง panom@psyclin.co.th พร้อมด้วยข้อสงสัยหรือข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเว็บไซท์นี้
   ปรับปรุงแก้ไขครั้งล่าสุด:21/05/50