บริษัทคลินิคจิต-ประสาท |
|
คู่มือปฏิบัติ สำหรับครูอาจารย์การช่วยเหลือนักเรียน ที่ประสบธรณีพิบัติภัย 6 จังหวัดภาคใต้ 26 ธันวาคม 2547 ฉบับที่ 1 วันที่ 27 มิถุนายน 2548
ผศ. นพ. พนม เกตุมาน สาขาวิชาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คำแนะนำเบื้องต้นเอกสารนี้เป็นแนวทางการปฏิบัติงาน ที่ได้จากการประชุมปรึกษาหารือวางแผน และทดลองปฏิบัติในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ดำเนินการโดย ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย และกรมสุขภาพจิต เพื่อใช้เป็นแนวทางในการช่วยเหลือนักเรียนที่ประสบธรณีพิบัติภัย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547
หลักการเบื้องต้นCommunity base ใช้ชุมชนเป็นฐาน ฟื้นฟูชุมชนให้มั่นคง ใช้ทรัพยากรในชุมชนให้เป็นประโยชน์ เริ่มจากการประเมินความต้องการของชุมชน ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นตรงกับความต้องการของชุมชน ในระยะสัปดาห์แรกๆ(4-6 สัปดาห์แรก) ให้ความสำคัญอย่างมากต่อ social reintegration และ restoration of community stability ในระยะแรกผู้ประสพภัยมักพะวงอยู่กับความเดือดร้อนและปัญหาของตนเอง การช่วยเหลือจำเป็นต้องเปลี่ยนปัญหาของตนเอง(รายบุคคล) เป็นปัญหาของชุมชน (รายกลุ่ม) ซึ่งจะทำให้มีพลังในการคิดทำงาน และแก้ไขปัญหาร่วมกัน School base ในเด็กและวัยรุ่น การใช้โรงเรียนเป็นฐานในการทำงานช่วยเหลือเด็ก มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากระบบการเรียนมีโครงสร้างที่ชัดเจนแน่นอน การให้เด็กกลับเข้าโรงเรียนโดยเร็วเป็นการฟื้นฟูสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ให้เกิดการเรียนรู้ถึงความสามารถของตนเองที่มีอยู่ และสามารถให้ความช่วยเหลือผ่านลงไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กได้ง่าย การช่วยเหลือ แบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 ตั้งแต่เกิดภัยพิบัติถึง 4 สัปดาห์ กิจกรรมดำเนินโดยทีมสหวิชาชีพ เพื่อช่วยชุมชนให้ฟื้นตัวกลับคืนปกติ มีการร่วมมือช่วยเหลือรวมกลุ่มกัน ให้ทุกคนกลับเข้าสู่ชีวิตตามเดิมโดยเร็ว ครอบครัวกลับเข้าสู่สมดุล ชุมชนมีความเชื่อมั่น และปลอดภัย ระดมความช่วยเหลือลงไปอย่างถูกต้องตรงตามความต้องการของชุมชน ป้องกัน retraumatization ให้สื่อมวลชนมีบทบาทร่วมในการให้ความรู้และความมั่นใจในความปลอดภัยแก่ผู้ประสพภัย ให้ความรู้แก่ผู้ช่วยเหลือ ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป มีการวางแผนความช่วยเหลือระยะสั้นและระยะยาว Retraumatization คือ การกระตุ้นผู้ผ่านภัยพิบัติให้สัมผัสกับประสบการณ์คล้ายเดิม จนทำให้ภาวะจิตใจเหมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีก จิตใจจะเกิดความตื่นตระหนก ตื่นตัวและมีความไวเกินปกติ มักเกิดขึ้นในระยะสัปดาห์แรกๆหลังภัยพิบัติ ทำให้รบกวนการฟื้นตัวกลับคืนปกติของจิตใจ สิ่งที่จะทำให้เกิด Retraumatization ได้แก่
ระยะที่ 1 นี้อาจนานหลายสัปดาห์ เนื่องจากปัญหาบางอย่างยังดำเนินการแก้ไขช่วยเหลือไม่เสร็จสิ้น เช่น การค้นหาศพ การสร้างบ้าน ถาวร การซ่อมแซมโรงเรียน หรือ ความขัดแย้งระหว่างภายในและภายนอกชุมชน ระยะที่ 2 ตั้งแต่ 4 -24 สัปดาห์ การค้นหาและช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาทางจิตเวช หรือสุขภาพจิต โดยการให้ความรู้ชุมชน สร้างระบบการคัดกรอง ช่วยเหลือเบื้องต้น และการส่งต่อรับการบริการทางจิตเวช โดยการใช้และสร้างทรัพยากรในชุมชนและการให้ความรู้ครู ระยะที่ 3 6 -24 เดือน เป็นการติดตามผลการช่วยเหลือระยะยาว และค้นหาผู้ที่มีปัญหาเพิ่มเติม
ระดับการช่วยเหลือ แบ่งเป็น 3 ระดับระดับที่ 1 สำหรับทุกคนที่ประสบภัยพิบัติ การช่วยเหลือเบื้องต้น การสร้างความเข้มแข็งและช่วยเหลือกันรวมตัวกันในชุมชน การฟื้นฟูชุมชนให้มั่นคง การให้ความรู้ ความเข้าใจปฏิกิริยาทางจิตใจสังคม และแนวทางการปฏิบัติตัวในระยะแรก ส่วนใหญ่ของผู้ประสบภัยจะปรับตัวได้ ระดับที่ 2 สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง กลุ่มเสี่ยงได้รับการคัดกรองจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือครูอาจารย์ โดยใช้แบบคัดกรองพฤติกรรม เช่น GHQ12 PSC PTSD CDI SDQ หรือการสัมภาษณ์เบื้องต้นในขั้นแรก และส่งผู้ที่น่าจะมีปัญหามารับการประเมินทางจิตเวช ในขั้นที่ 2 กลุ่มนี้ได้แก่ ผู้ที่เผชิญเหตุภัยพิบัติด้วยตัวเอง ความสูญเสียรุนแรง(พ่อแม่ญาติสนิทเสียชีวิต เพื่อนสนิทเสียชีวิต หรือบ้านเรือนเสียหายมาก ทรัพย์สมบัติสูญหาย) กลุ่มเด็ก/วัยรุ่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ที่กำลังรักษาตัวทางจิตเวช ผู้ที่เริ่มมีอาการทางจิตเวช การช่วยเหลือในระยะแรก สามารถทำได้โดยผู้ช่วยเหลือในชุมชน (ครู บุคลากรสาธารณสุข ผู้นำชุมชน อาสาสมัคร ฯลฯ) ที่มีความรู้และทักษะ(หรือผ่านการฝึกอบรมทางสุขภาพจิต) ระดับที่ 3 สำหรับผู้ป่วยทางจิตเวช ผู้ป่วยทางจิตเวชได้รับการประเมินและวินิจฉัยจากกลุ่มเสี่ยงที่คัดกรองมจากชุมชน ว่าป่วยเป็นโรคทางจิตเวชที่สัมพันธ์กับเหตุภัยพิบัติ การช่วยเหลือ โดยทีมสุขภาพจิตในพื้นที่ หรือทีมสนับสนุนจากส่วนกลาง ความแตกต่างของวัยเด็กแต่ละวัยมีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ แตกต่างกัน
การช่วยเหลือโดยใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลาง (School-base Intervention) หลักการ
· ก่อนที่ครูจะช่วยเหลือเด็กได้ ครูควรมีความพร้อม มีความรู้ และทักษะในการคัดกรอง การช่วยเหลือเบื้องต้นแก่เด็กในโรงเรียน
o ระยะที่ 1 หลังเหตุการณ์ จนถึง 4 สัปดาห์o ระยะที่ 2 เวลา 4-24 สัปดาห์ หลังเหตุการณ์o ระยะที่ 3 เวลา 6-24 เดือน หลังเหตุการณ์วิธีการช่วยเหลือโดยโรงเรียนเป็นศูนย์กลาง 1. การให้ความรู้ครู เรื่องปัญหาทางจิตใจสังคมของนักเรียน พ่อแม่ และครูเองจากเหตุการณ์ภัยพิบัติ · เตรียมความพร้อมครู ช่วยเหลือประคับประคองจิตใจครู ให้ความสำคัญกับครูและโรงเรียน · บทบาทของโรงเรียน การบริหารจัดการในโรงเรียนที่จะส่งเสริมให้เด็กปรับตัวได้เร็ว การมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ คัดกรอง ส่งต่อ · บทบาทของครูในการเข้าใจผู้ที่มีอาการในระยะแรก ตระหนักในความสำคัญของตนเอง อยากช่วยเหลือเด็ก โดยร่วมมือกับทีมช่วยเหลือทางสุขภาพจิต · ช่วยครูให้เข้าใจตนเอง และช่วยเหลือตนเองจนมีความพร้อมที่จะช่วยเหลือนักเรียน · ความรู้และเข้าใจอาการทางจิตเวชของเด็กและวัยรุ่น ที่เกิดขึ้นได้แก่ o ระยะสั้นได้แก่ grief and bereavement acute stress disorder post-traumatic stress disorder major depression adjustment disorder o ระยะกลางและยาว acute stress disorder post-traumatic stress disorder (acute and delayed onset) major depression adjustment disorder substance use disorder · เมื่อเหตุการณ์สงบลง จะมีเด็ก(หรือผู้ใหญ่)บางคนที่ยังมีปัญหาทางจิตเวชหรือเกิดปัญหาทางจิตเวชภายหลัง ต้องการผู้ช่วยช่วยคัดกรองและส่งต่อผู้ที่มีปัญหา · วิธีการช่วยเหลือจากทีมสุขภาพจิต ระบบคัดกรองและส่งต่อ 2. แนะนำระบบคัดกรอง ช่วยเหลือและส่งต่อ 3. สร้างระบบการส่งต่อ 4. ฝึกการใช้เครื่องมือคัดกรอง (ดูภาคผนวก) 5. แนะนำการช่วยเหลือโดยครูแก่นักเรียน ตามคู่มือ(ดูภาคผนวก)
ปฏิกิริยาทางจิตใจของเด็กและวัยรุ่น 1 ระยะสั้น เด็กอาจเกิดภาวะดังต่อไปนี้ ใน 4 สัปดาห์แรกหลังเหตุการณ์ · ภาวะช็อคทางจิตใจ เกิดในเด็กที่เผชิญเหตุการณ์ภัยพิบัติ ปฏิกิริยาแตกต่างกันตามวัยของเด็ก เริ่มเห็นชัดเจนในเด็กวัยเรียน เงียบเฉย สับสน งง อารมณ์เฉยชาขาดการตอบสนอง ไม่แจ่มใสร่าเริงเหมือนเดิม · ภาวะตกใจและหวาดกลัว เกิดจากความกลัวเหตุการณ์นั้น หรือ ความกลัวจากการหลงพลัดพรากจากพ่อแม่ ความกังวลว่าจะสูญเสียในการค้นหาผู้รอดชีวิต อาจมีอาการอารมณ์แปรปรวน ตกใจกลัว ตกใจง่ายจากเสียงดัง หรือเสียงคลื่น กลัวคลื่น กลัวทะเล ร้องไห้ไม่สามารถควบคุมตนเอง ขาดสมาธิ ย้ำคิดย้ำทำ คิดวนเวียนเรื่องที่วิตกกังวลซ้ำๆ ถามพ่อแม่ถึงความปลอดภัยซ้ำๆ · พฤติกรรมถดถอย เป็นเด็กลงไปกว่าวัย มีอาการกังวลต่อการพลัดพรากจากพ่อแม่หรือคนใกล้ชิด จะติดพ่อแม่หรือผู้ใหญ่มากขึ้น แสดงเป็นอาการไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่ยอมอยู่ห่างพ่อแม่ ร้องไห้เวลาพ่อแม่ไปส่งที่โรงเรียน · ภาวะซึมเศร้าจากการสูญเสีย เกิดจากการที่เด็กสูญเสียพ่อแม่พี่น้อง หรือบ้านเรือนทรัพย์สิน หมดหวัง ท้อแท้ รู้สึกไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ใดๆได้ เด็กส่วนใหญ่จะปรับตัวได้ อาการต่างๆที่มีในระยะแรก จะค่อยๆหมดไป 2 ระยะกลาง เกิดระหว่าง 4 สัปดาห์ ถึง 6 เดือน · ภาวะจิตใจหลังภัยพิบัติ เด็กรอดชีวิตมาได้จากเผชิญภัยพิบัตินั้นโดยตรง เช่น เด็กถูกคลื่นซัดแยกจากพ่อแม่พี่น้อง จะเกิดอาการหวาดกลัว ตกใจง่าย เกิดอาการตกใจเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์นั้นเมื่อมีสิ่งเร้าเพียงเล็กน้อย เช่นได้ยินเสียงคลื่น เสียงน้ำ เสียงคนร้องตะโกนดังๆ คิดซ้ำๆถึงเหตุการณ์นั้น ฝันร้ายว่าอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีก หวาดกลัวสิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ไม่กล้าเผชิญกับสิ่งเร้านั้นๆ เช่นกลัวเสียงคลื่น กลัวทะเล กลัวชายหาด ในเด็กโตหรือวัยรุ่นบางคน จะรู้สึกผิด ที่ตนเองรอดชีวิตมาได้ หรือไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ บางคนอาจคิดว่าตนเองเป็นสาเหตุ เช่น เป็นคนชักชวนให้ไปเที่ยวที่นั่น หรือตัวเองช่วยเหลือคนอื่นช้าไป · ภาวะซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย อาการซึมเศร้าอาจเกิดต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ 2 สัปดาห์แรก หรือเริ่มเกิดภายหลัง อาการซึมเศร้ามักประกอบด้วยอาการหลายอย่างได้แก่ อารมณ์ไม่สดชื่นร่าเริงแจ่มใส เบื่อหน่ายท้อแท้ ขาดความสุข เบื่ออาหาร น้ำหนักลด นอนไม่หลับ หรือหลับได้ตอนหัวค่ำ แต่จะตื่นตอนตอนดึกๆ แล้วหลับต่อได้ยาก สมาธิสั้นวอกแวกง่าย ความจำเสีย หมดแรงเหนื่อยหน่าย คิดว่าตนเองเป็นภาระให้ผู้อื่นลำบาก คิดว่าตนเองไร้ค่า อาการซึมเศร้าอาจรุนแรงมากจนคิดว่าตนเองผิด เบื่อชีวิต คิดอยากตาย คิดฆ่าตัวตายได้ ในเด็กบางทีอาการเหล่านี้อาจเห็นไม่ชัดเจน ในวัยรุ่นอาการอาจมีเพียงหงุดหงิดฉุนเฉียว อารมณ์แปรปรวนแตกต่างไปจากเดิม ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจมีผลต่อการเรียน หรืพัฒนาการบุคลิกภาพในระยะยาว · อาการกลัวหรือโรคกลัว เช่นกลัวทะเล กลัวคลื่น กลัวความมืด กลัวอยู่คนเดียว กลัวบ้านหรือสถานที่ที่เกิดเหตุ มักจะมีอาการหลบเลี่ยงจากสิ่งที่กลัว ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจมีผลต่อจิตใจระยะยาว เช่นขาดความมั่นใจตนเอง ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เหมือนเดิมหรือเหมือนเด็กอื่น อาจกลายเป็นโรคกลัวเรื้อรังรักษายาก อาการวิตกกังวล เด็กบางคนจะมีความวิตกกังวลมากขึ้น กังวลในเรื่องเล็กน้อยที่ไม่น่ากังวล เครียดง่าย หงุดหงิดง่าย สมาธิความจำลดลงจนอาจมีผลเสียต่อการเรียน ขาดความมั่นใจตนเอง ไม่กล้าแสดงออก อาการเหล่านี้อาจมีมากขึ้นจากเดิม เด็กที่ขี้กังวลอยู่แล้วอาจมีมากจนรบกวนการเรียน หรือการดำเนินชีวิต 3 ระยะยาว หลัง 6 เดือน จนถึง 24 เดือน อาการต่างๆ หรือโรคทางจิตเวชอาจเป็นเรื้อรัง มีผลต่อพัฒนาการตามปกติ ทำให้มีปัญหาการเรียน ขาดความมั่นใจตนเอง หลบเลี่ยงปัญหา ก้าวร้าวเกเร ใช้สุรา ยาเสพติด และอาจต่อเนื่องจนกลายเป็นปัญหาบุคลิกภาพ
การคัดกรองเด็กที่มีปัญหาสุขภาพจิต 6 สัปดาห์ หลังเหตุการณ์ ระดับที่ 1 โดยครู คัดกรองเด็กกลุ่มเสี่ยง โดยการให้เด็กที่ประสบเหตุภัยพิบัติตอบแบบคัดกรอง(ภาคผนวก)
จากการแปลผลแบบสอบถาม ครูสามารถแยกเด็กเป็นกลุ่มส่งต่อ และกลุ่มไม่ส่งต่อ ตามเกณฑ์การประเมิน ระดับที่ 2 ครูส่งเด็กในกลุ่มส่งต่อ พบทีมสุขภาพจิต เพื่อสัมภาษณ์เพื่อแยกโรคทางจิตเวชโดยอิงการวินิจฉัยโรค ของ ICD 10 ต่อไปนี้ 1 Posttraumatic stress disorder (PTSD) 2 Major depressive disorder 3 Substance use disorder ทีมสุขภาพจิตประเมิน และจัดกลุ่มนักเรียนตามความเสี่ยงของเด็ก ดังนี้ ประเภทที่ 1 มีความเสี่ยงสูง
การช่วยเหลือ ควรให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น แนะนำการรักษาต่อ และส่งต่อพบทีมสุขภาพจิตอย่างรวดเร็ว ประเภทที่ 2 มีความเสี่ยงปานกลาง
การช่วยเหลือ ควรให้การช่วยเหลือเบื้องต้นในโรงเรียนโดยครู และติดตามอย่างใกล้ชิดทุกสัปดาห์ เป็นเวลา 1 เดือน ถ้ายังมีอาการทางจิตเวชให้ส่งปรึกษาทีมสุขภาพจิต ถ้าดีขึ้นติดตามทุก 6 เดือนจนครบ 2 ปี ประเทที่ 3 ความเสี่ยงเล็กน้อย
การช่วยเหลือ ควรให้การช่วยเหลือเบื้องต้นในชุมชน และติดตาม 1 เดือน ถ้าดีขึ้นติดตามต่อไปทุก 6 เดือน จนครบ 1 ปี ประเภทที่ 4 ไม่มีความเสี่ยง
การช่วยเหลือ ให้ติดตามเดือนที่ 6 ถ้าไม่มีปัญหา ยุติการติดตาม
การช่วยเหลือเบื้องต้นในโรงเรียนโดยครู
ระยะต้น การช่วยเหลือใน 4 สัปดาห์แรก 1. รวบรวมเด็กที่รอดชีวิต รักษาอาการทางกาย บันทึกอาการทางจิตใจอย่างละเอียด สำรวจอาการ ความเครียด และความกลัว ความรู้สึกว่าตนเองผิด จัดระบบดูแลเด็กให้ปลอดภัย
4. ประกาศให้เด็กและครอบครัวมั่นใจในความปลอดภัย โดยเฉพาะระบบการเตือนภัย และระบบความช่วยเหลือที่เป็นจริง การระวังตัวที่เหมาะสมกับเหตุการณ์
8. สื่อสารให้ชุมชนมั่นใจในการดูแลที่เป็นระบบ ความปลอดภัย มีความหวังต่อการช่วยเหลือ ให้ชุมชนได้รับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพ 9. ป้องกันการเกิดผลต่อจิตใจซ้ำซ้อน หลีกเลี่ยงการสัมภาษณ์ที่ไม่จำเป็นต่อการรักษา การสัมภาษณ์เพื่อการนำเสนอข่าว การชมข่าวที่เสมือนจริงเหมือนเผชิญเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ ข่าวซึ่งมีลักษณะคุกคาม น่าหดหู่ ไม่มีทางออก 10. ให้เด็กได้ทำกิจกรรมเหมือนเดิมโดยเร็ว ได้แก่ การเรียน การเล่น การช่วยเหลือครอบครัว อย่าปล่อยให้เด็กอยู่เฉย อย่าทอดทิ้งเด็ก ควรมีคนดูแลตลอดเวลา 11. ใช้กลุ่มกิจกรรมขนาดเล็ก สำหรับเด็กกลุ่มเสี่ยงประมาณ 7-15 คน มีกิจกรรม ให้เด็กได้เล่น อธิบายเด็กว่าการเล่นในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องผิด ใช้กิจกรรมกลุ่มที่เปิดโอกาสให้เด็กแสดงออก และเกิดความรู้สึกสนุกสนาน ผ่อนคลาย ฝึกใจให้สงบ กิจกรรมที่ใช้ได้แก่ วาดรูป เล่านิทาน ศิลปะประดิษฐ์ เกม เพลง-ดนตรี เต้น กีฬา ในกลุ่มกิจกรรม ถ้าเด็กต้องการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ให้เปิดโอกาส แสดงความคิด ระบายความรู้สึกและความกลัว โดยมีบรรยากาศที่ประคับประคอง ผู้รักษาช่วยสรุป และเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เด็กไม่เข้าใจ หรือสงสัยให้ทุกคนเข้าใจอย่างง่ายๆ และไม่น่ากลัว เหมาะสมกับสภาพอารมณ์เด็ก และช่วยแก้ไขความคิดหรือความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง วิธีการป้องกันและแก้ไขเหตุการณ์เช่นนี้ 12. ส่งเสริมให้พ่อแม่ และผู้ดูแลเด็ก ให้ใกล้ชิดเด็ก เริ่มให้เข้าสู่กิจกรรมที่เป็นกิจวัตรตามเดิมโดยเร็ว เช่น การกิน การนอน การช่วยงานบ้าน ไม่ปิดกั้นการแสดงความรู้สึก ส่งเสริมให้เด็กไปโรงเรียนตามปกติโดยเร็ว ส่งเสริมกิจกรรมและการเล่นของเด็ก โดยเฉพาะการเล่นเป็นกลุ่ม ในวัยรุ่นให้มีบทบาทช่วยเหลือครอบครัวและช่วยเหลือชุมชนส่วนรวม 13. ส่งเสริมผู้นำชุมชนให้เริ่มการสอนเด็ก หรือกิจกรรมเด็กในกรณีที่โรงเรียนเสียหาย หาสถานที่ทดแทน ครูทดแทน อาจใช้อาสาสมัคร หรือพี่ช่วยสอนน้อง
การช่วยเหลือระยะกลาง (1-6 เดือน) 1. เด็กจะได้รับความช่วยเหลือผ่านครอบครัวและโรงเรียน ชุมชนควรมีรวมตัวสร้างแกนนำเป็นตัวแทนรวบรวมปัญหาความเดือดร้อนความต้องการต่างๆ และแสวงหาความช่วยเหลือให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง โดยประสานงานกับกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอื่นๆที่เกี่ยวข้อง 2. พ่อแม่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการให้ความมั่นใจในครอบครัว ความสงบมั่นคงไม่หวั่นไหวท้อแท้ เข้าใจปฏิกิริยาของเด็ก ตอบสนองความต้องการพื้นฐาน ส่งเสริมให้เด็กดำเนินชีวิตเหมือนเดิมทั้งที่บ้านและโรงเรียน ในวัยรุ่น ควรมอบหมายบทบาทให้มีส่วนร่วมในการช่วยฟื้นฟูครอบครัว ทั้งร่างกายและจิตใจ เด็กที่ยังมีอาการกลัว ควรฝึกให้เด็กเผชิญกับสิ่งที่กลัวทีละน้อย จนสามารถเผชิญได้เหมือนเดิม คอยสังเกตอาการและปัญหาพฤติกรรม ร่วมมือกับโรงเรียนในการช่วยเหลือเด็ก และส่งเด็กมาพบทีมสุขภาพจิตเมื่อไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง ถ้าพ่อแม่เองมีปัญหาทางจิตใจเองควรปรึกษาทีมสุขภาพจิต 3. ครูควรรับเด็กเข้าโรงเรียนโดยเร็ว จัดกิจกรรมให้ได้เหมือนเดิม คอยสังเกตพฤติกรรมนักเรียน คัดกรองเด็กกลุ่มเสี่ยงระดับต่างๆ ตามระยะเวลา (ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ ปัญหาพฤติกรรมเด็กที่เดิมมีอยู่แล้ว พื้นฐานครอบครัวเดิมไม่ดีเช่นพ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือมีปัญหาครอบครัว เด็กที่เผชิญเหตุการณ์ด้วยตนเอง พ่อแม่ญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิทเสียชีวิต บ้านเรือนหรือทรัพย์สินเสียหา เด็กที่เริ่มมีปัญหาสุขภาพจิตและส่งปรึกษา) 4. พ่อแม่และครู ที่มีปัญหาสุขภาพจิต เช่น มีอาการเครียด นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย เบื่อหน่าย เหนื่อยล้า ท้อถอย ฯลฯ ควรได้รับการคัดกรองปัญหาสุขภาพจิตและได้รับช่วยเหลือก่อน เมื่อจิตใจแข็งแรง ร่างกายและครอบครัวปลอดภัยและมีกำลังใจดี จึงจะช่วยเหลือเด็กต่อไป 5. ปัจจัยส่งเสริมการช่วยเหลือระยะกลางนี้ ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ต่อเนื่อง และตรงตามความต้องการ ชุมชนที่มีความเข้มแข็ง มีการช่วยเหลือกันเอง และระบบการช่วยเหลือที่มีความร่วมมือไปในทิศทางเดียวกัน
การช่วยเหลือระยะยาว 6-24 เดือน การติดตามเด็กที่ได้รับการช่วยเหลือ การค้นหาเด็กที่มีปัญหาเพิ่มขึ้น การฟื้นฟูปัญหาทางจิตใจในระยะยาว ให้กลับไปดำเนินชีวิตได้เหมือนเดิม 1. รักษาอาการหวาดกลัว โดยการให้เด็กค่อยๆเผชิญกับสถานที่ที่ยังกลัวและหลีกเลี่ยง ทีละน้อย ฝึกให้เด็กมีทักษะผ่อนคลายตนเอง เมื่อเข้าไปเผชิญสิ่งที่กลัว ให้ผ่อนคลายตนเองจนความกลัวลดลง จนสามารถเผชิญสิ่งที่กลัวได้เหมือนเดิม (ดูภาคผนวก)
4. ช่วยเหลือรักษาอาการทางจิตเวชครูและพ่อแม่ ผู้เกี่ยวข้อง ให้มีความพร้อมและความเข้มแข็งทางจิตใจ เพื่อเป็นหลักสำหรับเด็ก 5. การรักษาและฟื้นฟูเด็กที่มีความผิดปกติทางจิตใจ เช่นโรคกลัว โรคซึมเศร้า ที่ไม่สามารถช่วยเหลือเบื้องต้นได้โดยครู เพื่อปรึกษาและส่งต่อทีมสุขภาพจิตที่ใกล้เคียง
กิจกรรมช่วยเหลือที่ครูสามารถจัดให้กับเด็กที่ผ่านภัยพิบัติ (ควรมีการฝึกอบรม หรือให้คำแนะนำปรึกษา โดยวิทยากรทางสุขภาพจิต)
การคัดกรองเด็กที่มีปัญหาทางจิตเวช ใช้วิธีการหรือเครื่องมือ ต่อไปนี้ ที่เหมาะสมกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ 1. การใช้เครื่องมือคัดกรองเด็กกลุ่มเสี่ยง PSC (Pediatric Symptom Checklist) PTSD Checklist Children Depression Inventory CDI GHQ12 SDQ 2. การสัมภาษณ์ โดยใช้คู่มือสัมภาษณ์ คู่มือสัมภาษณ์อย่างง่าย คู่มือสัมภาษณ์ทางคลินิค (ต้องผ่านการฝึกอบรม) 3. การสังเกตพฤติกรรม มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ภายหลังเหตุการณ์พิบัติภัย ต่อไปนี้ พฤติกรรมทั่วไป เฉยชา ขาดความสนใจสิ่งแวดล้อม หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว การเรียน ขาดสมาธิ ไม่ตั้งใจเรียน ผลการเรียนตกลง พฤติกรรมเฉพาะ ได้แก่ กลัวเหตุการณ์ สถานการณ์ หลีกเลี่ยงเหตุการณ์หรือสถานการณ์ ซึมเศร้า วิตกกังวลง่ายกว่าเดิม
วิธีการช่วยเหลือนักเรียน 1. การให้ความรู้แก่นักเรียน กลุ่มเป้าหมาย เด็กหรือผู้ใหญ่ ที่ผ่านเหตุการณ์ภัยพิบัติทุกคน รายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม(ชั้น) หลักการ cognitive-behavioral therapy individual or group, didactic group, classroom meeting, group counseling วัตถุประสงค์ นักเรียนเข้าใจอาการของตนเอง มองตนเองและสิ่งแวดล้อมดีขึ้น มีความหวัง ลดอาการของความเครียดวิตกกังวล ย้ำคิด และเป็นพื้นฐานสำหรับการคัดกรอง และช่วยเหลือถ้ามีปัญหาสุขภาพจิต มีทัศนคติที่ดีต่ออาการทางจิตเวชและแสวงหาความช่วยเหลืออย่างถูกต้อง เวลาที่เหมาะสม ภายใน 6 เดือนแรก วิธีการ
ผลที่คาดว่าจะได้รับ นักเรียนเข้าใจอาการของตนเอง และผู้อื่น ช่วยเหลือกัน และช่วยคัดกรองและส่งต่อ
2. การฝึกให้เด็กมีทักษะผ่อนคลายตนเอง (Relaxation training) กลุ่มเป้าหมาย เด็กหรือผู้ใหญ่ ที่มีความเครียด วิตกกังวล ตกใจกลัว คิดซ้ำซากวนเวียน หรือ PTSD หลักการ cognitive-behavioral therapy individual or group วัตถุประสงค์ ลดอาการของความเครียดวิตกกังวล ย้ำคิด และเป็นพื้นฐานสำหรับการรักษา PTSD เวลาที่เหมาะสม ภายใน 6 เดือนแรก วิธีการ รายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม(ชั้น) ฝึกการผ่อนลมหายใจ ให้เด็กฝึกกำหนดจิตใจตนเองให้จดจ่ออยู่กับการหายใจ เข้าและออก ช้าๆ ติดตามลมหายใจเวลาลมกระทบปลายจมูก เมื่อใจคิดไปเรื่องอื่น ให้ดึงกลับมาจดจ่อกับลมหายใจดังเดิม ฝึกซ้ำๆทุกวันๆละ 2-3 ครั้งๆละ 10 นาที แนะนำให้ฝึกเองที่บ้านทุกวันอย่างสม่ำเสมอ ผลที่คาดว่าจะได้รับ อาการลดลง สมาธิดีขึ้น การเรียนดีขึ้น
3. การให้คำปรึกษา (Counseling) กลุ่มเป้าหมาย เด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีลักษณะต่อไปนี้
หลักการ การให้คำปรึกษา รายบุคคลหรือกลุ่ม (counseling individual or group) วัตถุประสงค์ ป้องกัน และลดอาการของความเครียดวิตกกังวล ย้ำคิด เวลาที่เหมาะสม ภายใน 1-6 เดือนแรก (แล้วแต่รูปแบบที่ใช้) วิธีการ ใช้ได้ทั้งรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม(ชั้น)
ผลที่คาดว่าจะได้รับ อาการลดลง ป้องกันอาการทางจิตเวช
การให้คำปรึกษารูปแบบต่างๆ สำหรับเด็กที่ประสบภัยพิบัติ เทคนิคการให้คำปรึกษาสามารถประยุกต์ใช้กับเด็กและวัยรุ่นที่เผชิญภัยพิบัติ ในรูปแบบที่หลากหลาย ตามระยะเวลาหลังเหตุการณ์ ความรุนแรงของเหตุการณ์ ปัญหาทางจิตใจที่เกิดขึ้น การให้คำปรึกษาแบบต่างๆ อาจทำเป็นรายบุคคล หรือ รายกลุ่ม ดังต่อไปนี้
การให้คำปรึกษาฉุกเฉินหลังเหตุการณ์ (Emotional First Aid Counseling) หลักการ การช่วยเหลือควรมีในระยะแรก เพื่อป้องกันปัญหาทางจิตใจ เป้าหมาย เด็กและวัยรุ่นทุกคนที่เผชิญเหตุภัยพิบัติ เวลาที่เหมาะสม ภายใน 1 เดือนแรก วิธีการ
การให้คำปรึกษาผู้สูญเสียคนใกล้ชิด (Grief Counseling) หลักการ การช่วยเหลือผู้ที่สูญเสียในระยะแรก ป้องกันและช่วยเหลือผู้ที่ซึมเศร้า เป้าหมาย เด็กและวัยรุ่นทุกคนที่สูญเสียผู้ใกล้ชิด เช่น พ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิท เพื่อนสนิท เวลาที่เหมาะสม ภายใน 1 เดือนแรก วิธีการ
รู้สึกอย่างไรที่รอดชีวิตมาได้ บางคนรู้สึกไม่ดีที่รอดชีวิต ขณะที่คนอื่นเสียชีวิต หนูมีความคิดเช่นนั้นบ้างมั้ย
ความคิดว่าตัวเองผิด เป็นธรรมชาติของคน เวลาสูญเสีย ความรู้สึกผิดที่ตัวเองรอดมาได้ เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเราเลย ความรู้สึกเช่นนี้จะค่อยๆหายไป การเล่าให้คนอื่นฟังก็ไม่ผิด
การให้คำปรึกษาระบายความรู้สึก (Ventilation/Catharsis Counseling) หลักการ การช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาอารมณ์ ช่วยให้อารมณ์สงบโดยเร็ว เป้าหมาย เด็กและวัยรุ่นทุกคนที่สูญเสีย เครียด หงุดหงิด ควบคุมตนเองไม่ได้ เวลาที่เหมาะสม ภายใน 1 เดือนแรก วิธีการ
การให้คำปรึกษาแนะนำ ( Anticipatory Guidance Counseling) หลักการ การช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัย ให้เข้าใจตนเองและผู้อื่น เป้าหมาย เด็กและวัยรุ่นทุกคนที่ประสบเหตุ เวลาที่เหมาะสม ภายใน 1 เดือนแรก วิธีการ
การให้คำปรึกษายามวิกฤต ( Crisis Counseling) หลักการ ช่วยให้ผู้ที่ประสบภัยที่วิกฤต สามารถปรับตัวได้ดีขึ้น เป้าหมาย เด็กและวัยรุ่นทุกคนที่อยู่ในภาวะวิกฤต เช่น พ่อแม่เสียชีวิต ขาดบ้านพักอาศัย เวลาที่เหมาะสม ภายใน 1 เดือนแรก วิธีการ
การให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหา (Problem Solving Counseling) หลักการ การช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัย ให้แก้ไขปัญหาได้ เป้าหมาย เด็กและวัยรุ่นทุกคนที่ประสบเหตุ เวลาที่เหมาะสม ภายใน 6 เดือนแรก วิธีการ
สิ่งที่น่าพูดน่าทำ และไม่น่าพูดไม่น่าทำ ในการให้คำปรึกษา สิ่งที่น่าพูดน่าทำ
ไม่น่าพูดไม่น่าทำ
เข้าใจแบบ empathy มากกว่าเห็นใจแบบ sympathy การแสดงความเข้าใจแบบ empathy ฟังเงียบๆอย่างตั้งใจ แสดงความรู้สึกร่วม ความต้องการช่วยเหลือ และ ตอบสนองด้วยคำพูดตามโอกาส เช่น ครูข้าใจความรู้สึกหนูที่ผ่านมา ครูเข้าใจได้ในความโกรธของเธอต่อเหตุการณ์ที่เกิดนั้น ครูคิดว่าการที่หนูรู้สึกแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง การแสดงความเห็นใจ แบบ sympathy ได้แก่ น่าสงสารหนูมากที่เกิดเรื่องนี้ มันน่าสะพรึงกลัวมากที่เกิดเรื่องนี้กับหนู ไม่ต้องกลัว ครูอยู่ที่นี่พร้อมที่จะช่วย ครูเสียใจด้วยกับคุณ อย่ากังวลไปเลย ทุกอย่างจะดีขึ้น
4. กลุ่มกิจกรรม ( Activity Group) เด็กและวัยรุ่นควรได้รับการส่งเสริมให้มีกิจกรรมเหมาะสมตามวัย ให้ความมั่นใจว่าการเล่นไม่ใช่เรื่องไม่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ การเล่นยังช่วยให้เด็กได้ระบายความคิดและความรู้สึก ขณะเดียวกันเบนความสนใจไปจากอารมณ์ที่ตึงเครียด เด็กอนุบาล การเล่น นิทาน เกม ศิลปะ(การวาดรูป ระบายสี พับกระดาษ ปั้นดินน้ำมัน หรือดินเหนียว งานประดิษฐ์ ) ร้องเพลง ถ้าการแสดงออกเกี่ยวข้องกับทะเล ชายหาด หรือคลื่น ให้เด็กแสดงความคิดความรู้สึกได้ ส่งเสริมให้เด็กเล่าเรื่องเหตุการณ์ตามความเป็นจริงอย่างสงบ เด็กประถม นิทาน การแสดงละคร (drama) เกม ศิลปะ ดนตรี กีฬา เรียงความ เด็กมัธยม เกม การแสดงออก การแสดงละคร (drama) การบำเพ็ญประโยชน์ กลุ่มกิจกรรม กลุ่มให้คำปรึกษา ประชาชนทั่วไป กิจกรรมกลุ่ม การช่วยเหลือกัน กลุ่มให้คำปรึกษา ฝึกอาชีพ ศิลปะ การบำเพ็ญประโยชน์
5. กลุ่มบำบัดสำหรับเด็กที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติ (Group Therapy) กลุ่มเป้าหมาย เด็กอายุ 6-12 ปี หรือ 13-18 ปี ประมาณ 7-15 คน หลักการ cognitive-behavioral therapy, self-help group, counseling process, prolong exposure therapy, story telling มุ่งให้เด็กอยู่กับปัจจุบัน(here and now) วัตถุประสงค์ ลดอาการของ PTSD วันเวลา พบกัน 8 ครั้ง ครั้งที่ 1-5 ติดต่อกันทุกวัน ครั้งที่ 6 ห่างจากครั้งที่ 5 4 สัปดาห์ ครั้งที่ 7 ห่างจากครั้งที่ 6 20 สัปดาห์ ครั้งที่ 8 ห่างจากครั้งที่ 24 สัปดาห์ การพบกันใช้เวลาครั้งละ 90 นาที วัตถุประสงค์ ช่วยเหลือในเด็กกลุ่มเสี่ยงมาก ลดอาการต่างๆ ผลที่คาดว่าจะได้รับ อาการลดลง สมาธิดีขึ้น การเรียนดีขึ้น มีการจัดการกับความคิดถูกต้อง มองตนเอง ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมดีขึ้น สามารถเผชิญกับเหตุการณ์หรือสถานที่กลัวได้เหมือนเดิม วิธีการ ใช้เทคนิคกลุ่มบำบัด กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ และกลุ่มให้คำปรึกษา พฤติกรรมบำบัด ครั้งที่ 1 เด็กทุกคนแนะนำตัว ผู้รักษาช่วยให้เด็กได้มีโอกาสพูดคุย สอนเทคนิคการคลายความเครียด การผ่อนคลายตนเอง การกำหนดจิตใจให้อยู่กับปัจจุบัน(ฝึกสติ) ให้กลุ่มฝึกปฏิบัติ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เผชิญ ระบายความคิดความรู้สึกและความกลัวร่วมกัน โดยมีบรรยากาศที่ประคับประคอง ผู้รักษาช่วยสรุป และเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสั้นๆให้ทุกคนเข้าใจ สำรวจอาการและความกลัว ความรู้สึกว่าตนเองผิด ให้สมาชิกกลุ่มช่วยกันหาวิธีการแก้ไขอาการต่างๆ ให้เรียนรู้กันเอง ผู้รักษาส่งเสริมวิธีการที่เหมาะสม ให้เป็นที่ยอมรับ และนำไปใช้ด้วยตัวเอง ช่วยแก้ไขความคิดหรือความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง เช่น คิดว่า เป็นความผิดของตนเอง คิดว่าการมีอาการต่างๆแสดงว่าตนเองอ่อนแอ คิดว่าไม่สามารถควบคุมตนเองได้ คิดว่าสิ่งแวดล้อมเต็มไปด้วยอันตราย ขาดความไว้ใจในสิ่งแวดล้อมและคนอื่น ครั้งที่ 2 ติดตามอาการต่างๆ และความรู้สึกที่ยังรบกวนจิตใจ เช่นความรู้สึกผิด ความกลัว ปัญหาการนอน อาการเครียด อาการทางร่างกาย ผู้รักษา ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการต่างๆ ให้ความหวังว่าจะหายได้ ฝึกเทคนิคการคลายความเครียด การผ่อนคลายตนเอง การคุมสติให้อยู่กับปัจจุบัน ให้กลุ่มฝึกปฏิบัติ แล้วให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ประสบมา เรียบเรียงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจนสามารถอธิบายได้ด้วยใจที่สงบ พร้อมกับสังเกตความรู้สึกตนเอง เมื่อมีความกลัวให้ผ่อนคลายตนเองด้วยเทคนิคที่ฝึกมา แลกเปลี่ยนวิธีการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ครั้งที่ 3 รับฟังปัญหาในการปรับตัว ทุกด้าน เช่น ที่อยู่อาศัย อาหาร ผู้รักษาเปิดโอกาสให้กลุ่มช่วยประคับประคอง และช่วยเหลือกัน ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจร่วมกัน ฝึกปฏิบัติ จินตนาการถึงเหตุการณ์ที่กลัว แล้วฝึกการผ่อนคลายตนเอง การรับรู้ตนเอง มีสติอยู่กับปัจจุบัน และควบคุมความคิดให้ได้ ฝึกให้คิดในทางบวกและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 4 สำรวจปัญหาในการปรับตัว ความหวาดกลัวและพฤติกรรมหลบเลี่ยง ผู้รักษาอธิบายวิธีการเอาชนะความกลัวให้ได้โดยเร็ว โดยการเผชิญกับสิ่งที่กลัว ทีละน้อย พร้อมกับการผ่อนคลายตนเองเวลาเผชิญหน้ากับความกลัว ครั้งที่ 5 ฝึกปฏิบัติ การฝึกสติ และควบคุมความคิด และ กำหนดจิตใจระลึกถึงผู้อื่นในทางที่ดี สร้างความหวังและพลังที่จะต่อสู้ต่อไป แผ่เมตตา(พุทธ) อธิษฐานต่อพระเจ้า(มุสลิม /คริสเตียน) ผู้รักษา ติดตามความก้าวหน้าของการปฏิบัติ ฝึกให้ทำต่อเนื่อง เพื่อคลายความเครียดด้วยตัวเอง ครั้งที่ 6 -7 ฝึกปฏิบัติ การฝึกสติ และติดตามปัญหาในการดำเนินชีวิต แล้วไปฝึกในสถานการณ์จริง ที่ยังมีความกลัว เช่นที่ชายหาด ที่บ้านที่ยังไม่กล้าเข้าไปอยู่ พร้อมทั้งมีการบ้านให้กลับไปฝึกที่บ้านทุกวันๆละ 50 นาที ครั้งที่ 8 ฝึกปฏิบัติ การฝึกสติ และติดตามปัญหาในการดำเนินชีวิต แล้วไปฝึกในสถานการณ์จริง ทบทวนการปฏิบัติที่เป็นการบ้าน ปัญหาอุปสรรคที่พบ แนะนำให้ทำต่อที่บ้านทุกวัน จนกว่าอาการกลัวและหลบเลี่ยงจะหายไป สรุปผล สรุป เทคนิคการฝึก ครั้งแรกรู้จักกัน ฝึกการควบคุมความคิดให้อยู่กับปัจจุบัน การคลายเครียด ครั้งที่2-5 ฝึกการเผชิญความเครียดในความคิด(imagination) ครั้งที่6-7 ฝึกการเผชิญกับสถานการณ์จริง ครั้งที่ 8 สรุป และแนะนำการปฏิบัติต่อเนื่อง
6. การรักษาทางจิตแบบความคิดและพฤติกรรมบำบัด (Cognitive-Behavior Therapy) กลุ่มเป้าหมาย เด็กอายุ 6-18 ปี หรือ ผู้ใหญ่ หลักการ cognitive-behavioral therapy prolong exposure therapy story telling here and now expressive therapy วัตถุประสงค์ ลดอาการของ PTSD วันเวลา พบกัน 10 ครั้ง ใช้เวลาครั้งละ 90 นาที วัตถุประสงค์ ช่วยเหลือในผู้เป็น PTSD ผลที่คาดว่าจะได้รับ อาการลดลง สมาธิดีขึ้น การเรียนดีขึ้น มีการจัดการกับความคิดถูกต้อง มองตนเอง ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมดีขึ้น สามารถเผชิญกับเหตุการณ์หรือสถานที่กลัวได้เหมือนเดิม วิธีการ ใช้เทคนิค ความคิดและ พฤติกรรมบำบัด (cognitive-behavior therapy) ประยุกต์ให้เหมาะตามวัย 1. การอธิบายให้เด็กเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมหรืออาการทางกาย 2. ฝึกให้เด็กมีการสังเกตและรับรู้ความคิดตนเอง ติดตามความคิด ความสัมพันธ์กับอารมณ์พฤติกรรม 3. ช่วยให้เด็กมองหาความคิดที่ไม่ถูกต้อง เช่น การมองตนเองไม่ดีที่มีอาการดังกล่าว การควบคุมตนเองไม่ได้ การโทษตนเอง 4. ช่วยให้เด็กคิดใหม่ คิดทางบวก คิดด้านอื่น ตามความเป็นจริง 5. ฝึกให้เด็กคิดเอง มีการบ้านให้ฝึกทำต่อเนื่อง 6. ฝึกให้เด็กควบคุมความคิด หยุดคิด
7. การช่วยเหลือเด็กสำหรับอาการทางจิตเวชอื่นๆ การช่วยเหลือเวลาเด็กกลัวโรงเรียน ให้เด็กไปโรงเรียนตามปกติ อย่าให้หยุดเรียน ฟังเด็ก แต่ไม่ต่อรองอย่าเพิ่งปักใจเชื่อหรือกังวลแทนเด็กมากเกินไป แต่แสดงความเข้าใจเด็กว่า เป็นอาการของความวิตกกังวล เมื่อมาถึงโรงเรียนให้ส่งให้ครูอย่างรวบรัด แล้วเดินจากไปอย่างสงบ ครูนำเด็กร่วมกิจกรรม ให้กลุ่มเพื่อนช่วยกันคิดและแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน อย่าให้อยู่เฉยๆ แยกตัว ถ้าไม่ดีขึ้นให้ส่งต่อ การช่วยเหลือเวลาเด็กกลัวและหลีกเลี่ยงสถานการณ์ หลักการช่วยเหลือ อธิบายให้เด็กเข้าใจอาการ และแนวทางการรักษา ส่งเสริมให้เผชิญกับสิ่งที่กลัว ทีละน้อย ไม่เปิดโอกาสให้เด็กหลบเลี่ยงปัญหา ฝึกทักษะผ่อนคลายตนเอง เมื่อมีอาการสามารถช่วยผ่อนคลายตนเองได้ชมเชยเมื่อเด็กทำได้ดี การช่วยเหลือเมื่อเด็กซึมเศร้า ให้เด็กมีกิจกรรม ไม่ให้อยู่ว่าง ฝืนใจเข้าร่วมกิจกรรม กิจกรรมควรเป็นการแสดงออก ให้เด็กมีส่วนร่วมและช่วยเหลือกัน การช่วยเหลือตนเองเมื่อเครียด ฝิกสมาธิ ฝึกสติ โยคะ แอร์โรบิกส์ ฝึกความคิด(ฝึกการรับรู้ความคิดของตนเอง รู้ว่าตนเองคิดไม่ถูกต้อง เตือนตนเองได้เร็ว หยุดคิด เบนความคิด ฝึกคิดในทางที่ดี คิดด้านบวก) การช่วยเหลือตนเองเมื่อเกิดอารมณ์ซึมเศร้า พยายามหาที่ปรึกษา หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ฝึกความคิดด้านบวก กิจกรรมสนุกสนานกระตุ้นให้อารมณ์ดี และกินยาต้านโรคซึมเศร้า ตามตามที่แพทย์สั่ง การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ฟื้นฟูโรงเรียนให้เสร็จโดยเร็ว ช่วยเหลือครูที่มีปัญหาจิตใจ ให้ความรู้ครูเรื่อง ผลกระทบของเหตุการณ์ที่มีต่อเด็ก ฝึกให้ครูคัดกรองเด็กกลุ่มเสี่ยงและสามารถให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นได้ และติดตามเด็กระยะยาวต่อไป
การช่วยเหลือทางจิตใจตนเอง สำหรับครูและผู้ช่วยเหลือเด็ก สาเหตุ ครูและผู้ช่วยเหลือเด็กมีโอกาสเกิดปัญหาทางสุขภาพจิตได้ จากสาเหตุต่อไปนี้
อาการเตือนภาวะเครียดของครูและผู้ช่วยเหลือ
การช่วยเหลือตนเอง
คำแนะนำสำหรับโรงเรียนในการรับความช่วยเหลือ
สภาพปัญหา
ข้อเสนอแนะ
ลักษณะกิจกรรม
เอกสารอ้างอิง
1. World Health Organization Regional Office for South-East Asia. Manual for community level workers to provide psychosocial support to communities affected by the tsunami disaster(draft). New Delhi. 2005. 2. American Academy of Child and Adolescent Psychiatry. Helping children after a disaster. May 2000. 3. Disasters and mental health. Lopez-Ibor JJ, Christodoulou G, Maj M, Sartorius N, Okasha A. eds.John Wiley & Sons Chichester.2005. 4. Clinicians manual on posttraumatic stress disorder.Yehuda R, Davidson J. Science Press Ltd. Singapore. 2000.
นพ พนม เกตุมาน ผู้เรียบเรียง 26 มิถุนายน 2548 |
คลินิคจิต-ประสาท 563 ถ.สามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กทม 10300 โทร. 0-2243-2142 0-2668-9435
ส่งเมล์ถึง
panom@psyclin.co.th พร้อมด้วยข้อสงสัยหรือข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเว็บไซท์นี้
|